Open Every Day
022772818

ทำไมถึงควรตรวจ “อัลตร้าซาวด์ช่องท้อง” ULTRASOUND

การอัลตร้าซาวนด์ เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยการใช้คลื่นเสียงกำลังสูงสะท้อนให้เกิดภาพ สามารถตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ แพทย์สามารถนำมาประกอบการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น 

 

การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นประจำทุกปี แต่นอกจากการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปแล้ว การตรวจสุขภาพของช่องท้องก็ไม่ควรมองข้าม เพราะภายในช่องท้องนั้นมีอวัยวะสำคัญมากมาย 

 

“อัลตร้าซาวนด์” สามารถตรวจส่วนไหนได้บ้าง ประโยชน์อย่างไร และสามารถช่วยสแกนโรคอะไรได้บ้าง

ตรวจอวัยวะในช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen)

ได้แก่ ตับ ม้าม ถุงน้ำดี และช่องท้องทั่วไป
– ตรวจนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
– ตรวจหลอดเลือดแดงใหญ่ของช่องท้อง ดูการตีบ-ตัน

การตรวจอวัยวะในช่องท้องส่วนล่าง (Ultrasound Lower Abdomen)

ได้แก่ มดลูก รังไข่ ต่อมลูกหมาก ไส้ติ่ง
-ตรวจมดลูก รังไข่ ต่อมลูกหมาก
-วินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ


จองสิทธิ์ทำนัดเข้ารับบริการ (สาขาสุทธิสาร)

ข้อจำกัดของการอัลตร้าซาวด์

  • อัลตร้าวซาวด์ไม่สามารถใช้การตรวจอวัยวะส่วนที่มีลมได้ เช่น ปอด กระเพาะอาหาร เป็นต้น

  • อัลตร้าซาวด์ไม่สามารถใช้ตรวจอวัยวะที่เป็นกระดูกได้

เตรียมตัวอย่างไร…

 

ตรวจช่องท้องส่วนบน

ควรงดอาหารและเครื่องดื่มที่มีไขมันทุกชนิดประมาณ 4-6 ชม.ก่อนตรวจ (สามารถดื่มน้ำเปล่าได้) เพื่อให้เวลาถุงนํ้าดีเก็บกักนํ้าดี และเพื่อลดปริมาณลมในกระเพาะและลำไส้ ซึ่งจะช่วยให้เห็นอวัยวะต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

ช่องท้องส่วนล่าง
การตรวจช่องท้องส่วนล่างเป็นการตรวจที่จำเป็นต้องให้มีนํ้าปัสสาวะมากๆ ในกระเพาะปัสสาวะ เพราะนํ้าในกระเพาะปัสสาวะจะช่วยดันลำไส้ออกจากช่องเชิงกราน ทำให้เห็นมดลูก รังไข่ ต่อมลูกหมาก และพยาธิสภาพอื่นๆ ได้ดีขึ้น ก่อนเข้ารับการตรวจคนไข้ควรดื่มน้ำรอไว้ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายกลั่นปัสสาวะเพิ่ม จะทำให้การตรวจง่ายขึ้น

ขั้นตอนการตรวจอัลตร้าซาวนด์ช่องท้อง

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะเป็นผู้ทำการตรวจ โดยให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง
  • จากนั้นแพทย์นำเจลมาทาที่บริเวณผิวหนัง เพื่อช่วยในการส่งผ่านคลื่นเสียงจากหัวตรวจ ผ่านผิวหนังเข้าไปดูอวัยวะต่างๆ
  • ในขณะตรวจแพทย์จะกดหัวเครื่องตรวจบนร่างกายส่วนที่จะตรวจเบาๆ เคลื่อนไปจนทั่วบริเวณที่ตรวจ โดยแพทย์และผู้ป่วยจะมองเห็นภาพอวัยวะภายในจากการตรวจบนจอเครื่องตรวจ
  • ใช้ระยะเวลาในการตรวจประมาณ 10-45 นาที ขึ้นกับตำแหน่งอวัยวะที่ต้องการตรวจ



จองสิทธิ์ทำนัดเข้ารับบริการ (สาขาสุทธิสาร)

BAAC-Hormone Check Up

ร่างกายและฮอร์โมน ทำไม ถึงขาดกันไม่ได้

ฮอร์โมน เป็นสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อสื่อสาร และทำหน้าที่ร่วมกับอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยฮอร์โมนจะหลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อ แล้วซึมเข้าสู่เส้นเลือด อาศัยระบบไหลเวียนโลหิต ส่งต่อไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เพื่อทำให้ร่างกายทำงานได้ปกติ

จะเห็นได้ว่า ฮอร์โมนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ฉะนั้นการดูแลร่างกายให้ฮอร์โมนอยู่ในระดับสมดุล จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เช่นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง นอกจากนี้เมื่อเราอายุมากขึ้น ควรตรวจเช็คฮอร์โมนทุกๆปี

  • BAAC-Hormone Check Up 15 รายการ 8,500.-

รายละเอียดการตรวจ 15 รายการ Checklist Details

————————————————————

Hormone Check-Up 15 รายการ (Men)

————————————————————

1. CBC ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
2. Free T3 ตรวจค่าฮอร์โมน triiodothyronine ที่สร้างจากต่อมไทรอยด์
3. Free T4 ตรวจค่าฮอร์โมน thyroxine ที่สร้างจากต่อมไทรอยด์
4. TSH ตรวจฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง
5. Estradiol (E2) ตรวจระดับฮอร์โมน
6. FSH ตรวจเช็คภาวะการมีบุตรยาก

7. LH ตรวจหาฮอร์โมนกระตุ้นภาวะการมีบุตรยาก

8. PSA (Prostate specific antigen) การตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก
9. Testosterone ตรวจเช็คภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย
10. Free Testosterone ตรวจฮอร์โมนเพศชาย
11. IGF-1 ตรวจฮอร์โมนช่วยซ่อมแซม
12. SHBG (Sex Hormone Binding Globulin) ตรวจค่าโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศชาย
13. Prolactin ตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมนที่ผลิตมาจากต่อมใต้สมอง
14. Cortisol ตรวจฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกาย

 15.ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Doctor Consultant

—————————————————————–

Hormone Check-Up 15 รายการ (Women)

—————————————————————–

1. CBC ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

2. Free T3 ตรวจค่าฮอร์โมน triiodothyronine ที่สร้างจากต่อมไทรอยด์

3. Free T4 ตรวจค่าฮอร์โมน thyroxine ที่สร้างจากต่อมไทรอยด์

4. TSH ตรวจฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง

5. Estradiol (E2) ตรวจระดับฮอร์โมน

6. FSH ตรวจเช็คภาวะการมีบุตรยาก

7. LH ตรวจหาฮอร์โมนกระตุ้นภาวะการมีบุตรยาก

8. Progesterone  ตรวจฮอร์โมนเพศหญิงที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมภาวะไข่ตก

9. Testosterone ตรวจเช็คภาวะพร่องฮอร์โมนเพศหญิง

10.Free Testosterone ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง

11. IGF-1 ตรวจฮอร์โมนช่วยซ่อมแซม

12. SHBG (Sex Hormone Binding Globulin) รวจค่าโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศหญิง

13. Prolactin ตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมนที่ผลิตมาจากต่อมใต้สมอง

14. Cortisol ตรวจฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกาย

15.ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Doctor Consultant


ลงทะเบียนจองสิทธิ์ ตรวจฮอร์โมน (ชาย/หญิง) คลิก

Branch Map

สาขาสุทธิสาร

3 ซอย ประมวลสุข แขวง สามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
  • 02-2772894
  • 02-2772818


สาขาบางนา

 921 Bangkok Anti Aging Center เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
  • 02-0075115
  • 02-0075116


สาขาสยาม

 444 ชั้น 8 โรงแรมปทุมวัน แขวง วังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  • 02-0487032
  • 02-0487034​



Facebook


Twitter


Youtube


Instagram

💁สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
💚สำนักงานใหญ่ สุทธิสาร 02-2772818  เปิดทุกวัน จันทร์-เสาร์ (เวลา 09:00 น.- 17:00 น.)
💚 Line : @BAAC  https://lin.ee/lpiSXfM
💚 Inbox : m.me/BangkokAntiAgingCenter


ลงทะเบียนจองสิทธิ์ คลิก

——————————————————————————
ตรวจคัดกรองมะเร็ง ชาย/หญิง 27 รายการ ราคา 3,590.-
——————————————————————————

✅ Body Scan (EIS) ตรวจสแกนอวัยวะภายในร่างกาย 8 รายการ
1. ตรวจสแกนระบบหัวใจและหลอดเลือด / Cardiovascular functions
2. ตรวจสแกนระบบต่อมไร้ท่อ / Endocrine functions 
3. ตรวจสแกนระบบขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์ / Urogenital and renal functions 
4. ตรวจสแกนระบบสั่งการของประสาทและกล้ามเนื้อ / Neuromuscular functions 
5. ตรวจสแกนระบบทางเดินหายใจ / Respiratory functions 
6. ตรวจสแกนระบบการย่อยอาหาร / Digestive functions
7. ตรวจสแกนระบบประสาทและสมอง / Neurologic functions 
8. ตรวจสแกนระบบการเผาผลาญอาหาร / General metabolic function 
9. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง

10.ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC 

11.ระดับน้ำตาลในเลือด FBS (Blood Sugar)
12.ตรวจคัดกรองภาวะโรคไต BUN
13.ตรวจคัดกรองภาวะโรคไต Creatinine
14.ตรวจคัดกรองภาวะโรคเกาต์Uric Acid
15.ตรวจคัดกรองโรคตับ SGOT (AST)
16.ตรวจคัดกรองโรคตับ SGPT (ALT)
17.ตรวจเอ็นไซม์ แอลดีเอช LDH
18ตรวจสารเฟอร์ริติน Serum Ferritin
19.ตรวจระดับวิตามินบี 12 ในเลือด Vitamin B12

✅สารบ่งชี้มะเร็ง (หญิง) 6 รายการ
• สารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP
• สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้CEA
• สารบ่งชี้มะเร็งเต้านม CA 15-3
• สารบ่งชี้มะเร็งรังไข่ CA 125
• สารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน CA 19-9
• สารบ่งชี้มะเร็งมดลูก Beta hCG

✅สารบ่งชี้มะเร็ง (ชาย) 6 รายการ

• สารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP
• สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้CEA
• สารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก PSA 15-3
• สารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก Free PSA
• สารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน CA 19-9
• สารบ่งชี้มะเร็งอัณฑะ Beta hCG

✅26. โปรแกรมตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก Bone Density

✅27. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Doctor Consultan

คำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ

  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนรับการตรวจสุขภาพ

  • กรุณางดอาหารและเครื่องดื่ม อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงก่อนตรวจ (สามารถจิบน้ำเปล่าได้เล็กน้อย)

  • กรุณางดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนตรวจสุขภาพ เนื่องจากยาและแอลกอฮอล์ อาจมีผลต่อการตรวจบางอย่าง

  • หากท่านมีโรคประจำตัวหรือประวัติสุขภาพอื่นๆ กรุณานำผลการตรวจหรือรายงานจากแพทย์มาด้วยเพื่อประกอบการวินิจฉัย

  • ควรสวมเสื้อผ้าที่สะดวกต่อการเจาะเลือดที่ข้อพับแขน

  • ผู้ที่มีลักษณะตรงตามที่ระบุดังต่อไปนี้ไม่สามารถแสกนร่างกายด้วยเครื่อง EIS ได้
    – ผู้ที่มีโลหะหรือมีเครื่องอิเล็กทรินิกส์ เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ ผ่าตัดดามเหล็กต่างๆ
    – คนไข้ที่ผ่าตัดทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ
    – คนไข้ผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ
    – คนไข้ผ่าตัดฝังไทเนี่ยมหลอดเลือดหัวใจ


ลงทะเบียนจองสิทธิ์ คลิก


Facebook


Twitter


Youtube


Instagram

💁สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
💚สำนักงานใหญ่ สุทธิสาร 02-2772818  เปิดทุกวัน จันทร์-เสาร์ (เวลา 09:00 น.- 17:00 น.)
💚 Line : @BAAC  https://lin.ee/lpiSXfM
💚 Inbox : m.me/BangkokAntiAgingCenter

     หลายครั้งที่ไปตรวจสุขภาพ เรามักจะพบกับคำศัพท์ที่ยากจะเข้าใจ ตัวย่อของการตรวจวัดค่าต่างๆในร่างกายรวมถึงตัวเลขที่ดูเหมือนว่าคุณหมอเท่านั้นที่รู้ความหมาย  หลังจากที่ได้รับการอธิบายจากคุณหมอแล้วก็ถึงจะเข้าใจ พอกลับบ้านก็รู้สึกยังจำไม่ค่อยได้เลยว่าตัวเลขเท่านี้ดีหรือไม่ ค่าปกติควรได้เท่าไร

    สรุปแล้วร่างกายเราปกติหรือไม่ เพราะนั้นการเข้าใจผลตรวจสุขภาพพื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่เราควรรู้เมื่อไปตรวจสุขภาพ

      พื้นฐานการตรวจสุขภาพของทุกสถานพยาบาล  นอกจากการวัดความดัน วัดส่วนสูง น้ำหนักแล้ว การตรวจวัดค่าพื้นฐานความปกติในร่างกาย หรือการตรวจสารเคมีในเลือดที่จำเป็นจะเริ่มจากการตรวจหมู่เลือด ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจระดับไขมันในเลือดตรวจ การทำงานของตับ ตรวจการทำงานของไต และคัดกรองภาวะความเสี่ยงโรคต่างๆ เป็นต้น

ตัวเลขของการตรวจสุขภาพบอกอะไรเราได้บ้าง

ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เป็นการตรวจนับปริมาณ ปริมาตร และรูปร่างของเม็ดเลือดแดงเพื่อบอกว่าเรามีภาวะโลหิตจางหรือไม่ คือ ค่าฮีโมโกลบินของผู้ชายจะอยู่ที่ 13 -18 กรัมต่อเดซิลิตร และของผู้หญิง12-16 กรัมต่อเดซิลิตร หากมีค่าต่ำกว่าค่าปกติ ก็ควรหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร

ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เป็นการคัดกรองภาวะโรคเบาหวาน โดยที่ระดับกลูโคสไม่ควรเกิน 100 หากค่าสูงกว่า นั่นคือกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน แต่ก็ยังมีการตรวจเพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น คือการดูค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสม คือซึ่งเป็นการดูระดับน้ำตาลตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากขึ้น

ตรวจระดับไขมันในเลือด เป็นการตรวจหา คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดโดยซึ่งคือการหา ไขมันดี และไขมันไม่ดี ถ้าหากพบว่าค่าสูงกว่าเกณฑ์ปกติอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคระบบหลอดเลือดหัวใจได้

การตรวจการทำงานของตับ เป็นการตรวจหาเอนไซม์การทำงานของตับ SGOT และ SGPT ซึ่งสามารถบอกได้ว่าตับอยู่ในภาวะที่ทำงานปกติหรือไม่ นอกจากนี้สามารถตรวจถึง ภาวะที่ตับเกิดการอุดตัน (Alkaline phosphatase) จากสาเหตุอะไรบางอย่างได้ด้วย

การตรวจการทำงานของไต เป็นการวัดระดับปริมาณของเสียในร่างกาย BUN Creatinine ถ้าค่าระดับสูงกว่าปกตินั่นคือควรได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม


ลงทะเบียนจองสิทธิ์ตรวจสุขภาพในราคาพิเศษ

วิตามิน เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของเรา ช่วยเสริมสร้างระบบในร่างกายให้ทำงาน อีกทั้งช่วย บำรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น

จริงๆแล้ว เราชินกับการรับประทานวิตามินแบบ เม็ดกันมากกว่า หรือแบบผงละลายน้ำชงดื่ม หรือ อีกประเภทหนึ่งคือ รูปแบบของผลิตภัณฑ์ ครีมบำรุงผิว


แต่ยุคนี้ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้มีวิตามินมาในรูปแบบของการฉีด จะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว และให้ผลลัพท์ได้ดีกว่าวิตามินประเภททานที่จะต้องใช้เวลาในการย่อยและดูดซึม แต่การฉีดวิตามินผ่านทางหลอดเลือดดำ ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ถึง 90 % ค่ะ

   เติมวิตามินให้ร่างกาย หนึ่งในโปรแกรมดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันภายในให้แข็งแรง  นอกจากสุขภาพดีแล้วยังได้ผิวพรรณที่สวยเปล่งปลั่งอีกด้วย ซึ่งวิตามินซีชนิดเข้มข้นที่นำมาเลือกใช้นั้น จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านต่างๆ รวมถึงการช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส ทำลายเชื้อโรค แต่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย แต่จะช่วยสร้างกลไกในร่างกายให้มีเกราะป้องกันมากขึ้น ลดการติดเชื้อได้ง่าย เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี จะช่วยลดอาการภูมิแพ้ และลดการเป็นหวัดได้ง่าย

โปรแกรม “การให้วิตามิน” เหมาะกับใครบ้าง

  • เหมาะกับคนทั่วไปที่อยากฟื้นฟูสุขภาพ

  • ผู้เป็นที่เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อย

  • ผู้ที่มีเป็นไมเกรน

  • ผู้ที่เป็นลมพิษ หรือ ผื่นคัน

  • ผู้ที่เดินทางบ่อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

  • ต้องการเติมความสดชื่นให้ร่างกาย

  • พักผ่อนน้อย นอนหลับไม่สนิท

ผลลัพธ์ที่ได้ จากการทำ โปรแกรม “ฟื้นฟูสุขภาพด้วยวิตามิน”

  • ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรค

  • ช่วยต่อต้านการอักเสบภายในร่างกาย

  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการความคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย

  • ช่วยลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

  • บำรุงและปกป้องเซลล์ตับจากการถูกทำลาย โดยสารพิษและเคมีชนิดต่าง ๆ

  • รักษาแผลหลังผ่าตัด หรือแผลที่เกิดจากรอยไหม้ และปกป้องผิวจากการถูกรังสีทำร้าย

  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจน

  • เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สาคัญ

  • ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใสขึ้น

  • ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับได้ง่ายและหลับได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ปรับสมาธิในการทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

ระยะเวลาในการรับบริการ

  • ประมาณ 45 – 60 นาที ต่อครั้ง

ความถี่ในการเข้ารับบริการ

  • สัปดาห์ละครั้ง หรือขึ้นอยู่กับแต่ละสภาพร่างกายของเเต่ละบุคคล

 รีวิวจากผู้ใช้บริการ

118011510_1726856484149395_8375715071989469915_o
117244389_1722713001230410_3005949704051292764_o
92828704_1602403973261314_1376583567223554048_o
92468651_1602403706594674_3418654497142996992_o
92266612_1602403856594659_2996298687543508992_o
92468651_1602403706594674_3418654497142996992_o
116055926_1708389442662766_1583472867458949398_o
107376602_1687082764793434_2519016879247794341_o

Previous
Next

🛒 สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
✅ Line : @BAAC https://lin.ee/lpiSXfM คลิก
✅ Inbox : m.me/BangkokAntiAgingCenter คลิก
✅ ที่เบอร์ 02-2772818

การฉีด PRP หรือ PRP Therapy ถือเป็นศาสตร์ใหม่ในด้านเวชกรรมความงาม ช่วยในเรื่องการฟื้นฟูเซลล์ ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและซ่อมแซมสภาพผิว

ชั้นเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สุดคือ  PRP หรือ Platelet Rich Plasma ในชั้นนี้มีสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า Growth Factor เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์  Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้าง Collagen ให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยและกระจ่างใส

ฉีด PRP มีข้อดีอย่างไร?

การทำ PRP คือ ผิวหนังที่เสื่อมสภาพที่ได้รับการซ่อมแซม ทำให้ใบหน้ากระจ่างใสดูอ่อนวัยขึ้น และเห็นผลได้ชัดเจนประมาณ 2 อาทิตย์หลังการรักษา และเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ผิวพรรณตึงกระชับ เนียนและอ่อนนุ่มขึ้น ซึ่งผลลัพธ์นี้อยู่ได้นานถึง 12-15 เดือน  โดยเว้นระยะ 1-3 อาทิตย์ต่อครั้งในการทำ หลังการรักษาอาจจะมีอาการช้ำ และมีจุดบวมบ้างเล็กน้อยซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองใน 1-2 วัน  ผลการรักษาในแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวพรรณ อายุและการดูแลรักษาหลังทำของคนไข้

PRP ฟื้นฟูผิวหน้า เหมาะกับใคร?

  • ผิวหน้าคล้ำ ไม่สดใส
  • ใบหน้ามีริ้วรอย ร่องลึก
  • มีปัญหารอยสิว รอยแดง จุดด่างดำบนใบหน้า
  • ผิวหน้าแห้ง

การเตรียมตัวก่อนทำ PRP ฟื้นฟูผิวหน้า

  • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญ
  • หากมีโรคประจำตัว หรือแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำให้มากๆ
  • งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-3 วัน
  • งดทานยากลุ่ม ASA และ NSIAD อย่างน้อย 2-3 วัน

หลังฉีด PRP ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

  • สามารถประคบเย็นหรือสามารถทานยาแก้ปวดได้ แต่ต้องเป็นยาประเภท NSAIDs
  • หลีกเหลี่ยงการทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสาร Whitening อื่นๆ
  • หลีกเลี่ยงการล้างหน้าภายใน 4-5 ชั่วโมงแรกของการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการนวดหน้า ขัดหน้าหรือถูกความร้อน อบไอน้ำ ซาวน่าหรือแสงแดด
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ทาครีมบำรุงผิวหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ตามปรกติ

เพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีคุณภาพดีที่สุด ขั้นตอนในการรักษาที่มีคุณภาพ ประสบการณ์ และความชำนาญของแพทย์ จะช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ

” Filler ฟิลเลอร์ “ ช่วยอะไรและเติมตรงไหนได้บ้าง

Filler ใช้เติมเต็มผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้น โดยจะใช้เติมเต็มร่องรอยลึกในบริเวณที่ไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า เพิ่มให้ผิวดูอิ่มฟูยิ่งขึ้น โดยฟิลเลอร์จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี จากนั้นจะค่อยๆ สลายไปเองตามธรรมชาติ

เติมหน้าผาก เพิ่มหน้าผากโหนกนูน รับกับใบหน้า มองมุมไหนก็รอดสวยทุกมิติ

ติมขมับบุ๋ม ขมับตอบ แก้ปัญหาหน้าโทรมไร้ออร่าความเป๊ะให้กลับมาปัง

เติมใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ ร่องน้ำตาที่ทำให้ดูไม่สดใส ดูโทรม

เติมโหนกแก้ม เพิ่มแก้มส้ม สำหรับคนที่หน้าไม่มีมิติ ไม่มีแก้มส้ม ให้กลับมาน่าชวนมองอีกครั้ง ใ

เติมแก้มตอบ แก้ปัญหาหน้าดูผอม ไม่สดใส ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เติมร่องแก้มลึก ให้ดูตื้นขึ้น ไร้ปัญหาริ้วรอยลึกที่ทำให้ดูแก่

เติมคางสั้น คางตัด ทำให้คางยาวขึ้นหน้าดูเรียว ใบหน้าได้รูปมากมากขึ้น

เติมริมฝีปาก แก้ปัญหาปากบางทาลิปไม่สวยให้อวบอิ่ม เซ็กซี่ ทาลิปอะไรก็สวย

การที่จะทำให้ ” Filler ฟิลเลอร์ “ อยู่ได้นานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลด้วย

” Botox โบท็อกซ์ “ ช่วยอะไรและฉีดตรงไหนได้บ้าง

Botox   ใช้เพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวลง ลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ อย่างเช่น รอยย่นหน้าผาก รอยตีนการอยย่นระหว่างคิ้ว โดยโบท็อกซ์นั้นจะอยู่ได้ 4-6 เดือนค่ะ

  • หน้าผาก

บริเวณหน้าผากมักมีรอยย่น ซึ่งริ้วรอยบริเวณนี้มีกันทุกคนนี้ เกิดจากการที่เรายักคิ้ว ขมวดคิ้ว หรือเลิกคิ้วขึ้นไป ทำให้เกิดรอยย่นเป็นเส้น ๆ การฉีดโบท็อกซ์บนหน้าผาก จึงเป็นการฉีดเพื่อแก้ไขรอยย่น ให้เปลี่ยนเป็นเรียบตึง

  • ระหว่างคิ้ว

เรามักจะเผลอขมวดคิ้วอยู่บ่อย ๆ จึงจะทำให้เกิดรอยย่นและริ้วรอยบริเวณระหว่างคิ้ว การฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว จะฉีดบริเวณหัวคิ้วเพื่อลดรอยย่น ซึ่งบริเวณนี้ใช้โบท็อกซ์ในปริมาณที่ไม่มาก และแพทย์จะฉีดเพียงไม่กี่จุด โดยประเมินจากรอยย่น

  • หางคิ้ว

หางคิ้วตกเป็นปัญหาของใครหลายคนทำให้เกิดความกังวล การฉีดโบท็อกซ์บริเวณหางคิ้วจะช่วยให้หางคิ้วยกเชิดขึ้นมา แต่เนื่องจากคิ้วของคนเราแต่ละข้างมักไม่เท่ากัน ดังนั้นการใช้ปริมาณโบท็อกซ์แต่ละข้างจึงแตกต่างกันไปด้วย

  • รอบดวงตา และ ตีนกา

ริ้วรอยรอบดวงตาและหางตา ส่วนใหญ่จะเกิดรอยย่นค่อนข้างเยอะ เนื่องมาจารการยิ้ม ทำให้เกิดริ้วรอย ที่เรียกกันว่า ‘ตีนกา’ หรือ ‘รอยย่นหางปลา’ การฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้จะช่วยทำให้ริ้วรอยและรอยย่นเลือนหายไป ใช้ปริมาณไม่มาก แต่ผ่านไปสักระยะก็จะกลับมาใหม่อย่างรวดเร็ว คนเรามักจะยิ้มและหัวเราะกันอยู่บ่อย ๆ

  • โหนกแก้ม

เวลาที่เรายิ้มโหนกแก้มจะยกขึ้นมาเป็นโหนกนูน ซึ่งบริเวณนี้เราสามารถฉีดโบท็อกซ์ให้มีขนาดเล็กลงได้ โดยตัวยาจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้ม ซึ่งแพทย์อาจจะฉีดไล่เป็นแนวเฉียง เพื่อให้โบท็อกซ์กระจายตัวได้ดี

  • ปีกจมูก

บางคนจมูกสวยอยู่แล้ว แต่ปลายจมูกบาน การฉีดโบท็อกซ์จะลดการทำงานของปีกจมูกบริเวณข้างปีกที่ขยายตอนที่เรายิ้ม ทำให้เวลายิ้มปีกจมูกจะไม่ถูกขยายขึ้น ทำให้ปีกจมูกดูเล็กลง ได้รูปทรงยิ่งขึ้น และใช้โบท็อกซ์ในปริมาณที่ไม่มาก

  • ลดการยิ้มเห็นเหงือก

สำหรับคนที่ยิ้มแล้วเห็นเหงือกเยอะ หรือริมฝีปากร่นขึ้นไปเยอะมากเกินไป การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เวลายิ้มจะเห็นเหงือกน้อยลง การฉีดบริเวณนี้จะใช้ปริมาณที่ไม่เยอะ เพราะเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก แต่ผลจะกลับมาค่อนข้างเร็ว อยู่ได้ประมาณ 2-4 เดือน

  • กราม และ กรอบหน้า

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่คนนิยมมาฉีดเพราะช่วยปรับรูปหน้า และลดกราม หน้าเรียวได้ การฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้จะลดกล้ามเนื้อตรงส่วนกรามให้เล็กลงเหมือนแก้มตอบลง รูปหน้าดูเรียวขึ้น ทำให้โครงหน้ามีมิติ  การฉีดปรับรูปหน้าหรือลดกราม จะใช้โบท็อกซ์ในปริมาณค่อนข้างเยอะ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่สัปดาห์ที่สองและอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน

  • มุมปาก

เมื่อคุณมีอายุมากขึ้นจะเริ่มมองเห็นรอยเล็ก ๆ บริเวณมุมปาก ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์บริเวณนี้จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ริ้วรอยหายไป และช่วยแก้ไขรูปปากคว่ำให้มุมปากสวยขึ้น

  1. คอ

เป็นการฉีดเพื่อลดรอยที่เป็นปล้อง ๆ บริเวณลำคอ และฉีดเพื่อปรับบริเวณใต้ขากรรไกรและคอ ให้เรียวได้รูปมากยิ่งขึ้น เทคนิคนี้จะเรียกว่า เนเฟอติติ ลิฟท์ (Nefertiti Lift)

  1. รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า

โบท็อกซ์ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหามีเหงื่อออกเยอะ และเกิดจากความผิดปกติของต่อมเหงื่อ ฉีดเพื่อระงับไม่ให้ผลิตเหงื่อออกมามากจนเกินไป

  1. น่อง

กล้ามเนื้อน่องที่มีขนาดใหญ่จนมองเห็นเป็นก้อนแข็ง หรือขาใหญ่ไม่เท่ากัน สามารถใช้โบท็อกซ์ช่วยได้ โดยการฉีดโบท็อกซ์จะลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ลดมัดกล้ามเนื้อบริเวณน่องให้ฟีบลงจึงดูเรียวขึ้น การฉีดลดน่องจะใช้ปริมาณที่เยอะมาก เยอะกว่าจุดอื่น ๆ และอาจจะต้องฉีดหลายครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน

ปัจจุบันมีบริการทั้งหมด 3 สาขา สำหรับติดต่อเพื่อรับคำปรึกษาปัญหาสุขภาพที่ตรงจุด หากท่านมีปัญหา สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อเข้ามาได้

ที่เบอร์  02-2772818 หรือแอดไลน์ ID : @BAAC

✅ Line https://lin.ee/lpiSXfM คลิก

Facebook  : BAAC-Bangkok Anti-Aging Center
✅ Inbox : m.me/BangkokAntiAgingCenter คลิก

Bangkok Anti Aging Center – BAAC (Sutthisan) 02-2772893 / 02-2772894

Bangkok Anti Aging Center – BAAC (Bangna) 02-0075115/ 02-0075116

Bangkok Anti Aging Center – BAAC (Pathumwan or Siam) 02-0487032/ 02-0487034

“มะเร็งลำไส้ใหญ่”  เป็นโรคอันดับต้นๆ และทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด แต่รู้ไหมว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้หากเรารู้ก่อน และวิธีป้องกันตัวเอง เพราะสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากกรรมพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งแล้ว พฤติกรรมการทานอาหารของเราค่ะ คือสาเหตุหลักของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ที่สำคัญ มะเร็งลำไส้ใหญ่ยังเป็นโรคที่จะส่งสัญญาณเตือนออกมาเป็นอาการที่เราเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน หากคอยหมั่นสังเกตตัวเองสักนิด ก็จะรู้ทันและสามารถป้องกันและหยุดยั้งแต่เนิ่นๆ ได้ ค่ะ

ท้องผูกบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ

อาจเป็นเพราะพฤติกรรมการกินที่ไม่กินผักผลไม้ ร่างกายไม่ได้รับไฟเบอร์เพียงพอ และดื่มน้ำน้อย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานไม่ดี บางคนมีอาการท้องผูกแต่ปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังจนมองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต พฤติกรรมนี้ล่ะคือสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าคุณมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต

อุจจาระลีบเป็นลำเล็ก

เนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่มักเริ่มจากการมีติ่งเนื้อขึ้นมาในลำไส้ ซึ่งอาจเป็นติ่งเนื้อธรรมดาไม่ใช่เนื้อร้าย แล้วจึงพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งในภายหลัง การมีติ่งเนื้อขึ้นขวางภายในลำไส้นี้จึงทำให้อุจจาระที่เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่มีลักษณะถูกบีบให้เป็นลำเล็กลีบ ดังนั้นหากสังเกตได้ว่าอุจจาระมีลักษณะเล็กลีบเป็นประจำ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีก้อนเนื้อหรือติ่งเนื้อขึ้นในลำไส้

มีเลือดสดหรือเลือดสีแดงเข้มมากปนมากับอุจจาระ

อาจเกิดจากอุจจาระที่แข็งเมื่อเบียดกับติ่งเนื้อที่ขึ้นผิดปกติภายในลำไส้เกิดเป็นแผลทำให้มีเลือดออกและปนออกมาในบางครั้งที่ขับถ่าย

มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูก

คือการอุจจาระแข็งและเหลวสลับกัน เป็นติดต่อกันแบบมีอาการเรื้อรัง ถึงแม้ว่าจะกินอาหารที่เหมาะสมไม่ได้เป็นสาเหตุให้ท้องเสียก็ยังมีอาการนี้อยู่ นี่อาจเป็นความผิดปกติที่เกิดจากภายในลำไส้

กินอาหารเท่าเดิมแต่น้ำหนักลดฮวบฮาบ

ลักษณะอาการคือน้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีพฤติกรรมการกินอาหารแบบเดิมหรือมากกว่าเดิม

อ่อนเพลียอ่อนแรงแบบไม่มีสาเหตุ

อาจเกิดจากการที่มีเลือดออกในลำไส้ ปนออกมากับอุจจาระ หากเสียเลือดจากการขับถ่ายมากอาจมีภาวะซีด และโลหิตจางร่วมด้วย และยิ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียอ่อนแรงต่อเนื่องมากขึ้นอีก

ถึงแม้โรคมะเร็งลำไส้ จะเป็นมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับสามในปัจจุบันนี้ แต่หากเราระวังในพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต และหมั่นสังเกตตัวเองได้ทันการ จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้น

#เช็กสุขภาพหาความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ช่วยได้เยอะ #BAAC

ด้วยความปรารถนาดี   จาก BAAC-Bangkok Anti-Aging Center

📌 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
✅ Inbox : m.me/BangkokAntiAgingCenter คลิก
✅ Line : https://lin.ee/lpiSXfM คลิก

โรคมะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโรคมะเร็งที่เกิดในผู้ชายไทย โดยมักพบในคนอายุ 30-70 ปี และพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากเพศชายมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง  โดยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ

 สาเหตุอันดับต้นๆ ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งตับในประเทศไทย คือ “การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี” ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากติดต่อจากแม่มาสู่ลูก แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ คือ “การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

มะเร็งตับจากการดื่มแอลกอฮอล์

      การดื่มแอลกอฮอล์จัดจะนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคมะเร็งตับตามมา แต่กรณีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีจะไม่นำไปสู่ภาวะตับแข็ง แต่จะนำไปสู่มะเร็งตับได้เลย ดังนั้นจึงการตรวจคัดกรองมะเร็งตับจึงเป็นเรื่องสำคัญ

BAAC  ขอมอบสิทธิราคาพิเศษ ให้กับลูกค้าทุกท่านสำหรับโปรแกรมตรวจคัดกรอง “โรคมะเร็ง สำหรับผู้ชาย” เพื่อประเมินหาความเสี่ยงของการเกิดโรค และหาแนวทางป้องกันเพื่อลดโอกาสเกิดโรคมะเร็ง ด้วยความปรารถนาดี   จาก BAAC-Bangkok Anti-Aging Center


ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ตรวจคัดมะเร็งคุณผู้ชาย/หญิง คลิก

รายละเอียดรายการตรวจสำหรับคุณผู้ชาย 28 รายการ
(Cancer Screening Test Program – 28 items for men)

✅ตรวจเช็คความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง Live Blood Analysis
✅ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC
✅ระดับน้ำตาลในเลือด FBS (Blood Sugar)
✅ตรวจคัดกรองภาวะโรคไต BUN
✅ตรวจคัดกรองภาวะโรคไต Creatinine
✅ตรวจคัดกรองภาวะโรคเกาต์Uric Acid
✅ตรวจคัดกรองโรคตับ SGOT (AST)
✅ตรวจคัดกรองโรคตับ SGPT (ALT)
✅ตรวจเอ็นไซม์ แอลดีเอช LDH
✅ตรวจสารเฟอร์ริติน Serum Ferritin
✅ตรวจระดับวิตามินบี 12 ในเลือด Vitamin B12
✅สารบ่งชี้มะเร็งชาย
• สารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP
• สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้CEA
• สารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก PSA 15-3
• สารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก Free PSA
• สารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน CA 19-9
• สารบ่งชี้มะเร็งอัณฑะ Beta hCG

 

✅สารบ่งชี้มะเร็งหญิง
     • สารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP
     • สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้CEA
     • สารบ่งชี้มะเร็งเต้านม CA 15-3
     • สารบ่งชี้มะเร็งรังไข่ CA 125
     • สารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน CA 19-9
     • สารบ่งชี้มะเร็งมดลูก Beta hCG
✅ตรวจสแกนอวัยวะภายในร่างกาย 8 รายการ Bio Body Scan (EIS)
• ระบบหัวใจและหลอดเลือด
• ระบบต่อมไร้ท่อ
• ระบบขับถ่าย
• ระบบสืบพันธุ์
• ระบบทางเดินหายใจ
• ระบบการย่อยอาหาร
• ระบบประสาทและสมอง
• ระบบการเผาผลาญอาหาร
✅ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก Bone Density
✅ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG
✅ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับวินิจฉัยผลการตรวจเลือด Doctor Consultant


ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ตรวจคัดมะเร็งคุณผู้ชาย/หญิง คลิก

📌 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
✅ Inbox : m.me/BangkokAntiAgingCenter คลิก
✅ Line : https://lin.ee/lpiSXfM คลิก

เมื่อเอ่ยถึงโรคภัยไข้เจ็บ ผู้ใหญ่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มากกว่าเด็ก เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น อาหาร หรือความเครียด

โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 30-45 ปี อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้สูง โดยจะผันแปรไปตามตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บริหาร ที่จะต้องทนรับกับแรงกดดันจากความรับผิดชอบหลายด้าน ไม่ว่าเรื่องลูกน้องหรือการแข่งขันทางธุรกิจ ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว มีแนวโน้มต่อการถูกคุกคามด้วยโรคต่างๆ ตามมา

โรคยอดฮิตที่นักบริหารเป็นกันมาก ซึ่งแต่ละโรคมีรายละเอียดที่น่าสนใจ พร้อมกับแสดงสัญญาณเตือนที่จะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองตามอาการของโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้

โรคความดันโลหิตสูง

ถือเป็นโรคมาแรงในกลุ่มผู้บริหาร เพราะต้องเผชิญต่อความกดดัน และความเครียดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งลูกน้องหรือคนใกล้ตัว ที่สำคัญโรคนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือหัวใจล้มเหลว

โรคหลอดเลือดสมอง

หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “สโตรก” Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะ มีการอุดตันของเส้นเลือด และออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ส่งผลให้เนื้อสมองเสียหาย อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ โรคสมองขาดเลือด และโรคเลือดออกในสมอง

หลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคหัวใจขาดเลือด

โรคนี้เป็นสาเหตุการตายสำคัญอันดับหนึ่งของไทย เกิดจากการตีบ หรืออุดตันของเส้นเลือดจากการสะสมไขมัน คอเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ

โรคกระเพาะอาหาร

เป็นโรคระบบทางเดินอาหารขัดข้อง เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มักจะต้องทำงานแข่งกับเวลา และเคร่งเครียดอยู่กับงานจนลืมที่จะรับประทานอาหาร หรือเกิดจากการดื่มสุรา สูบบุหรี่อย่างหนัก

โรคมะเร็งตับ

ถือเป็นโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะเพศชายซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้มีอัตราเสี่ยงสูง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ  เนื่องจากดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือกรรมพันธุ์ เป็นต้น

โรคเบาหวาน

ส่วนใหญ่ โรคเบาหวานมัก เกิดได้ง่ายกับคนอ้วน หรือผู้ที่รับประทานอาหารประเภทแป้งมากเกินไป รวมทั้งผู้ที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลาอย่างกลุ่มนักบริหาร โรคเบาหวานมักพบจากการตรวจร่างกายประจำปี โดยไม่มีอาการผิดปกติให้สังเกตเห็น

โรคถุงลมโป่งพอง

ที่เกิดกับกลุ่มนักบริหาร มักจะเกิดกับผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นเวลานานๆ หรืออยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป สัญญาณเตือนภัยของผู้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง

โรคกระดูกพรุน

สิ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารให้มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ คือ แบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยการใช้เวลาในวันสุดสัปดาห์พักผ่อนอย่างเต็มที่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้หัวใจ และปอดมีสมรรถภาพดี

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้บริหารควรทำให้ได้ คือ การลดความเครียดให้ได้มากที่สุด เพราะความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคที่ไม่พึงปรารถนาทั้งปวง และหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี เพียงเท่านี้ท่านก็จะเป็นนักบริหารที่มีประสิทธิภาพ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยไม่เป็นเหยื่อของโรคดังกล่าวข้างต้น

สำหรับผู้ที่สนใจรับสิทธิ์ ตรวจสุขภาพฟรี แจ้งสิทรับสิทธิ์และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 

💚 Line : @BAAC https://lin.ee/lpiSXfM
💙 Facebook : BAAC-Bangkok Anti-Aging Center
💜 Instagram : instagram.com/baac_center/
💛 Youtube : youtube.com/c/BAACBangkokAntiAgingCenter
🧡 Web Site : www.bangkokanti-aging.com
☎️ Tel : 022772818

เปิดให้บริการทุกวันเวลา  09.00 น. – 20.00 น.